วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปัญหา จุดซ่อนเร้น ที่ไม่ควรมองข้าม

ปัญหา จุดซ่อนเร้น ที่ไม่ควรมองข้าม


Dr.Nisanart Thanabhum

จุดซ่อนเร้น

เมื่อแรกที่มีอาการคัน ระคายเคืองหรือแสบบริเวณจุดซ่อนเร้น ด้วยความอายที่จะไปหาหมอผู้หญิงส่วนใหญ่มักละเลยและคิดเข้าข้างตนเองว่าถ้า ดูแลสุขอนามัยให้ดีอาการก็น่าจะทุเลาลง หรือมีความเชื่อเดิมๆ ว่าเดี๋ยวก็หายได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือตรงจุดเสมอไป!


จุดซ่อนเร้นเป็นอวัยวะที่มีความละเอียดอ่อนและมักสัมผัสกับความชื้นตลอดเวลา อีกทั้งเป็นอวัยวะที่เชื่อมต่อกับระบบขับถ่ายและระบบสืบพันธุ์ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสัมผัสหรือแพร่กระจายเชื้อโรคได้มาก เมื่อเป็นแบบนี้ปัญหาใดบ้างที่เจ้าของร่างกายควรสังเกตและปรึกษาสูตินรี แพทย์อย่างเร่งด่วน รวมถึงมีวิธีใดที่สามารถป้องกันหรือแก้ไขเองในเบื้องต้น เรามีคำแนะนำมาฝากตามคำเรียกร้องค่ะ


อาการอย่างไรที่บ่งบอกว่าน่าจะติดเชื้อ หรือไม่ติดเชื้อ?


การติดเชื้อที่จุดซ่อนเร้นแบ่งออกได้หลายระดับแตกต่างกันไป บางครั้งหากไม่ตรวจอย่างละเอียด หรือไม่ทันสังเกตก็จะไม่รู้ถึงความผิดปกติ แต่ถ้ารอให้มีอาการก็มักจะเป็นมากและมีภาวะแทรกซ้อนของโรคแล้ว แต่อาการที่เป็นสัญญาเตือนได้ว่าคุณน่าจะติดเชื้อ ได้แก่


* คันบริเวณปากช่องคลอด ตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีสีน้ำตาลเข้มปนเลือด
* เจ็บแสบขัดเมื่อถ่ายปัสสาวะ หรือเมื่อมีเพศสัมพันธ์
* มีไข้ และปวดท้องน้อยบริเวณที่ต่ำกว่าสะดือ และอาจปวดร้าวมาถึงหลัง
* มีแผลตื้นๆ หรือตุ่มน้ำบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์

อาการที่กล่าวเบื้องต้นมักเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่ มีการป้องกันที่ดี นั่นคือการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย สำส่อนทางเพศประเภท one night stand การไม่สวมถุงยางอนามัย ทำให้มีการแพร่เชื้อต่อๆ กัน ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหนองใน แผลริมอ่อน แบคทีเรียทริโคโมนาส การติดเชื้อทางไวรัส เป็นหูดหงอนไก่ เป็นต้น เมื่อสังเกตถึงความผิดปกติก็มักเป็นมาก ดังนั้นวิธีการแก้ไขที่ดีและถูกต้องคือ การไปพบสูตินรีแพทย์ทันที เพราะยิ่งเร็วเท่าไรนั่นหมายถึงเวลารักษาและความรุนแรงที่ลดลง

sex เพศสัมพันธ์

อาการเตือนอื่นๆ ที่ก่อความรำคาญ แต่แก้ได้ง่าย


เพราะปัญหาที่เกิดกับจุดซ่อนเร้นอาจไม่ได้จำกัดอยู่แต่ภายในเท่านั้น แต่อาจเกิดบริเวณภายนอกรอบๆ ที่ทำให้เกิดความรำคาญไม่น้อย เช่น

* อาการคัน หรือระคายเคืองบริเวณปากช่องคลอด
* ตกขาวเปลี่ยนจากสีขาวขุ่น เป็นมูกสีเหลืองหรือสีเขียว
* มีผื่นแดง รู้สึกแสบร้อนบริเวณเนื้ออ่อนรอบๆ อวัยวะเพศ หรือขาหนีบ
อาการ เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมาจากการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่เกิดการใช้ชีวิตประจำวันด้วย โดยอาจเป็นการติดเชื้อรา หรือผิวหนังบริเวณจุดซ่อนเร้นเกิดการแพ้สารเคมีบางอย่าง ทำให้อักเสบ โดยสาเหตุหลักๆ ก็มาจาก
* การสวมกางเกงในที่ไม่ระบายอากาศ การใส่กางเกงแฟชั่นรัดมากแบบจีสตริง หรือมีเนื้อผ้าหนาไป ทำให้เหงื่อระเหยช้า เกิดความอับชื้น และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
* การสวมกางเกงชั้นในที่ซักไม่สะอาด มีสารตกค้างของสารซักฟอก หรือตากไม่แห้ง มีเชื้อรา
* การแพ้สารเคมีในผ้าหรือแผ่นอนามัย
* การลืมเปลี่ยนผ้าหรือแผ่นอนามัยทุก 2-3 ชั่วโมง
* การรักความสะอาดมากไป ด้วยการใช้สบู่ที่เป็นด่างมากๆ ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นทำให้สภาพปากช่องคลอดมีความเป็นกรดตามธรรมชาติลดลง ทำให้เกิดอาการคันระคายเคือง
* การใช้กระดาษชำระที่มีน้ำหอม หรือมีลายสีสันสดใส ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
* การทาแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้น ซึ่งสูตินรีแพทย์ไม่แนะนำให้ทา เพราะอาจเกิดการแพ้ และเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่หากทาบริเวณจุดซ่อนเร้นโดยตรง
* การกินยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น เช่น ยาฆ่าเชื้อไวรัสเมื่อเป็นหวัดเป็นเวลานาน

ปัญหาจุดซ่อนเร้นเป็นเรื่องที่สาวๆ ต้องใส่ใจให้มาก เพราะหากเกิดอาการหรือสิ่งผิดปกติขึ้นแล้ว ตัวเองจะเป็นคนที่รำคาญและทุกข์ที่สุดค่ะ


การดูแลจุดซ่อนเร้นที่ถูกต้อง


แม้จุดซ่อนเร้นจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากด้วยสรีระตามธรรมชาติ แต่หากสาวน้อยสาวใหญ่ดูแลและทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นได้อย่างถูกต้อง แบบไม่มากหรือน้อยเกินไป โอกาสที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์ก็ย่อมลดลง นั่นคือ


- การมีเพศสัมพันธ์อย่างเหมาะสมและปลอดภัย


- การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้น ด้วยการล้างด้วยน้ำเปล่า หรือช่วงมีประจำเดือนอาจใช้สบู่อ่อนได้บ้างแล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ แต่ไม่ควรใช้สายชำระทำการสวนล้างช่องคลอด ซับให้แห้งและใส่กางเกงในผ้าฝ้าย หากต้องใส่ผ้าอนามัยและรู้สึกไม่สบายหรืออับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้นอาจใช้วา สลีนหรือยูเรียช่วยทาเคลือบผิวและเปลี่ยนแผ่นอนามัยบ่อยๆ ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อนหากไม่จำเป็น เพราะพบว่าทำให้เกิดการอับชื้น ก่อให้เกิดการติดเชื้อรา หรือมีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย

ที่มาจาก www.healthtoday.net

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น