วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชุดประจำชาติ โชว์เวที Miss Universe ปีนี้ ได้แล้ว!!

ชุดประจำชาติ โชว์เวที Miss Universe ปีนี้ ได้แล้ว!!

บัณฑิตแม่โจ้ คว้ารางวัล ออกแบบ ชุดประจำชาติ

เตรียมตัดชุดส่ง ไข่มุก-ชุติมา ประกวดเวที Miss Universe

ชุดประจำชาติ Miss Universe

หลังจากที่ประสบความสำเร็จได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง สำหรับโครงการ ออกแบบ ชุดประจำชาติ สำหรับตัวแทนสาวไทยไป ประกวด นางงามจักรวาล (Miss Universe®) เมื่อปีที่ผ่านมา

ล่าสุด สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เดินเครื่องเติมความฝันให้กับนักออกแบบรุ่นใหม่ชาวไทยอีกครั้ง โดยในปีนี้มีผลงานส่งเข้ามาร่วมโครงการถึง 1,476 ผลงาน โดยผลงานที่โดดเด่นชนะใจคณะกรรมการตัดสินได้แก่ “ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ” ของ นายธัชกร ตั้งธนกรกิจ คว้าเงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการประกวดนางงามจักรวาล 2009 (2009 Miss Universer)

ด้าน ธัชกร ตั้งธนกรกิจ เจ้าของผลงาน “ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ” เปิด เผยถึงแนวคิดและแรงบันดาลใจในการออกแบบผลงานชิ้นนี้ว่า “การออกแบบชุด ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ อยู่ภายใต้แนวคิด Creative Thai ที่ทางกองประกวดมิสไทยแลนด์ ยูนิเวิร์สกำหนดไว้ ซึ่งผมได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ความสวยงามของผู้หญิงไทย ที่นอกจากจะมีความงามจากภายนอกแล้ว ยังงดงามออกมาจากภายในจิตใจ มีประกายความสดใสผ่องอำไพดุจดังทอง สมกับคำว่า สุวรรณภูมิ ดินแดนแห่งหญิงงาม”

โดยท่อนบนของชุด คาดด้วยผ้าทอสีเนื้อ ท่อนล่าง เป็นผ้านุ่งที่ใช้ผ้าทอสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติ มีลวดลายแสดงถึงเอกลักษณ์ไทย นำมาจับ พับซ้อนให้เกิดระดับชั้น ซึ่งจะทำให้ผ้าผืนเรียบดูมีมิติราวกับมีชีวิตขึ้นมา ขณะที่ด้านหน้าของผ้านุ่งคาดทับด้วยผ้าปักลายนูน ตกแต่งด้วยดิ้นเงินระยิบระยับ

ชุดประจำชาติ Miss Universe

ส่วนเครื่องประดับ ได้แนวคิดจากเครื่องประดับของชาวไทยภูเขาที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความงาม โดยนำทองเหลืองหลายชิ้นหลายขนาดซ้อนกันจนถึงระดับอก และให้พาดผ่านไหล่เสมือนสไบทองคำแท่งยาวจรดพื้น”

ธัชกร ตั้งธนกรกิจ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีทางด้านภูมิสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ปัจจุบันเป็นนักออกแบบอิสระ เจ้าของบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายใน และดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย

ชุดประจำชาติ Miss Universe

สำหรับผลงาน “ญ.งามท้องถิ่นสุวรรณภูมิ” จะถูกนำไปพัฒนารายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อตัดเย็บเป็นชุดประจำชาติ

ส่วน ไข่มุก-ชุติมา ดุรงค์เดช มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2552 สวมใส่ขึ้นเวทีการประกวดนางงามจักรวาล 2009 (2009 Miss Universe®) ที่เครือรัฐบาฮามาส เดือนสิงหาคม นี้ และหากชุดดังกล่าวได้รับการคัดเลือกเป็นชุดประจำชาติยอดเยี่ยม ช่อง 7 สี จะมอบเงินรางวัลพิเศษ 30,000 บาท ให้แก่ นายธัชกร ตั้งธนกรกิจ ผู้ออกแบบอีกด้วย

ทั้งนี้ โครงการออกแบบชุดประจำชาติ สำหรับตัวแทนสาวไทยไปประกวดนางงามจักรวาล จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยผลงานที่ชนะเลิศในปีที่ผ่านมาได้แก่ “Spirit of Fighting” ของ นายสถาปัตย์ มูลมา นักศึกษาจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยโด่งดังไปทั่วโลก เมื่อ กวินตรา โพธิจักร มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2551 ได้รับการประกาศให้ได้รับรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม บนเวทีนางงามจักรวาล 2008 (2008 Miss Universe®) ณ ประเทศเวียดนาม

ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก

รวมภาพ สวย ๆ จาก megan fox ( เมแกน ฟ็อกซ์ ) นางเอก สาวสวย สุดเซ็กซี่ ทรานส์ฟอร์เมอร์ส

รวมภาพ สวย ๆ จาก megan fox ( เมแกน ฟ็อกซ์ )

นางเอก สาวสวย สุดเซ็กซี่ ทรานส์ฟอร์เมอร์ส

เมแกน ฟ็อกซ์

เมแกน ฟ็อกซ์ / megan fox ภาพจาก ภาพยนตร์ ทรานส์ฟอร์เมอร์ส


เมแกน ฟ็อกซ์ ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2529 ที่เขตโอค ริดจ์ ในเมืองเมม ฟิส รัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมริกา สูง 168 เซนติเมตร เธอเริ่มเรียนการแสดงและเต้นรำเมื่ออายุ 5 ขวบ และพออายุได้ 10 ขวบจึงย้ายไปอยู่ในรัฐฟลอริดา ก่อนมาปักหลักอยู่ในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่นี่เมแกนเริ่มอาชีพนักแสดงและนางแบบด้วยวัยเพียง 13 ปี หลังจากกวาดรางวัลในงานอเมริกัน โมเดลลิ่ง แอนด์ ทาเลนท์ คอนเวนชั่น ที่ ฮิลตัน เฮด ในรัฐเซาท์ แคโรไลนา

จากนั้นเธอเริ่มแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกเรื่อง Holiday In The Sun ในปี 2544 พร้อมกับมีผลงานการแสดงในละครทีวีซีรีส์หลายเรื่อง รวมทั้ง What I like About You จนถึงปี 2547 เมแกน ประกบลินด์เซย์ โลฮาน ในเรื่อง Confessions Of A Teenage Drama Queen และเป็นดารารับเชิญในทีวีซีรีส์เรื่องสั้น Help ก่อนประสบความสำเร็จโด่งดังจากภาพยนตร์ Transformers ภาคแรก เมื่อปี 2550

เมแกน ฟ็อกซ์

เมแกน ฟ็อกซ์ / megan fox

นอกจากนั้น ยังมีภาพยนตร์เรื่อง Jennifer’s Body ซึ่งมีคิวฉายในปีนี้ แม้ไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่ แต่เรื่องนี้มีฉากที่นางเอกสาวทรานส์ฟอร์เมอร์ส เปลือยกายล่อนจ้อน ยามว่างเมแกนชอบอ่านหนังสือการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจ และอีกหนึ่งกิจกรรมสุดโปรดคือ วิดีโอเกม รวมทั้งยังเป็นนักรักสัตว์ ตัวยง เธอเลี้ยงทั้งหมา แมว นก กระรอก และหมูที่บ้านหลังปัจจุบันในนครลอสแอนเจลิส

เมแกน ฟ็อกซ์

เมแกน ฟ็อกซ์ / megan fox

เมแกน ยอมรับว่า การที่เธอหันมาเอาดีทางด้านอาชีพนักแสดง เพราะอยากขึ้นชั้นเป็นเซ็กซ์ ซิมโบล หรือสัญลักษณ์ทางเพศ และก็สมดังหวัง เมื่อเธอคว้างรางวัลตำแหน่งผู้หญิงเซ็กซี่ที่สุดในโลกจากนิตยสาร เอฟเอชเอ็ม เมื่อปี 2551 แต่สำหรับในปีนี้ เธอคว้าอันดับสอง ในโพล สำรวจผู้หญิงสุดยอดปรารถนาในดวงใจประจำปี 2552

เมแกน ฟ็อกซ์

เมแกน ฟ็อกซ์ / megan fox

กลิ่นตัวชาย .. กลิ่นกายหญิง

กลิ่นตัวชาย .. กลิ่นกายหญิง

กลิ่นกาย กลิ่นตัว

เมื่อพูดเรื่องของกลิ่น ก็ต้องแยกกันครับระหว่างกลิ่นตัวกลิ่นกายที่หอมโดยธรรมชาติ กับกลิ่นตัวที่เกิดจากการหมักหมมไม่ยอมอาบน้ำเพราะค่าน้ำขึ้นราคา ในภาษาไทยเราก็ไม่มีคำเฉพาะที่สามารถบรรยายให้เข้าใจได้ชัดเจน แต่ในภาษาอังกฤษ กลิ่นตัวหอมๆ เราจะเรียกว่า "Scent" ส่วนกลิ่นตัวเหม็นๆ ก็จะเรียกว่า "Odor"

กลิ่นธรรมชาติให้มา

กลิ่น ตัวกลิ่นกายที่หอมโดยธรรมชาติ เป็นกลิ่นหอมที่ติดตัวมาโดยไม่ต้องไปแต่งเติมอะไร เหมือนกับกลิ่นของเด็กทารก มันมีกลิ่นแบบนี้ของมันเองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องใช้แป้งเด็ก ไม่ต้องใช้โลชั่นใดๆ กลิ่นหอมของเด็กก็จะทำให้เรารู้สึกสงบลง อ่อนโยน และรู้สึกว่าต้องทะนุถนอมดูแล น่ากอด น่าอุ้ม...แป้งเด็กที่มีขายออกมาก็มีกลิ่นหอมเบาๆ คล้ายๆ กลิ่นของเด็กโดยธรรมชาติแหละครับ

พอ โตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวก็มีกลิ่นกายที่เปลี่ยนไป กลิ่นเนื้อหนุ่มดูไม่ค่อยชัดเจนเท่ากลิ่นเนื้อสาว ไม่รู้อาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้มีโอกาสดมเนื้อหนุ่มด้วยกันก็ได้! กลิ่นเนื้อสาวแบบธรรมชาติ เป็นกลิ่นที่ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความอ่อนโยน บอบบาง น่าทะนุถนอม เป็นกลิ่นที่ดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้าม กลิ่นนี้เป็นลักษณะเฉพาะคน บางคนมี บางคนก็ไม่มี ผู้หญิงประเภทบึกๆ ห้าวๆ พวกทอม ไม่ค่อยมีกลิ่นอย่างที่ว่าหรอกครับ

กลิ่นกายของคนเราก็คงมีลักษณะคล้ายๆ กับฟีโรโมน (Pheromone) คือ สัตว์บางชนิดสามารถปล่อยกลิ่น หรือสารเคมีบางอย่างออกมา เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น หรือเป็นการดึงดูดความสนใจ กระตุ้นเกี้ยวพาราสีในช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ ในคนเราไม่มีฟีโรโมนชัดเจนเหมือนกับสัตว์ การกระตุ้นดึงดูดด้วยฟีโรโมนเป็นเรื่องง่ายเกินไปสำหรับมนุษย์ หากคนเรามีฟีโรโมนเหมือนกับสัตว์ สงสัยคงยุ่งแน่ ตรงไหนที่มีการปิ๊งกัน คงมีกลิ่นของคนโน้น คนนี้ปนกันเต็มไปหมดแต่การที่คนเราจะปิ๊งกันได้ ก็ต้องมีองค์ประกอบมากมาย กลิ่นอย่างเดียวไม่พอหรอกครับ ส่วนมากแล้วหนุ่มสาวก็มักจะมีภาพของคู่ตนในใจเอาไว้อยู่แล้ว

หนุ่มคนนั้นต้องมีหน้าตาแบบนี้นะ รูปร่าง บุคลิก นิสัยอย่างนี้นะ แถมบางทีก็ต้องมีข้อแม้เพิ่มเติมอีก เช่น ต้องมีรถโก้ๆ ฯลฯ ดังนั้นสังคมมนุษย์มันมีอิทธิพลประกอบอย่างอื่นเยอะ มีฟีโรโมนออกมาเยอะยังไง ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากหรอกครับ

กลิ่น..ดับอารมณ์


พูดถึงกลิ่นดีๆ แล้ว ก็เลยขอว่าถึงกลิ่นที่ไม่ดีด้วยแล้วกันนะ กลิ่นไม่ดีอาจทำให้หมดอารมณ์ไปดื้อๆ เลยก็ได้

กลิ่น ที่เกิดขึ้นในผู้ชายก็มักเป็นกลิ่นตัวจากเหงื่อไคล จากจุดอับต่างๆ เช่น ซอกรักแร้ หากเคยเจอที่มันเหม็นจริงๆ รับรองเห็นจนสลบไปเลยครับ กลิ่นที่ว่าก็เกิดจากการที่มีแบคทีเรียเจริญเติบโตสะสมอยู่ในจุดอับเป็น จำนวนมาก พอมีเหงื่อไคลอับชื้น มันก็จะย่อยสลายโดยแบคทีเรียเกิดเป็นกลิ่นเหม็นๆ ออกมา

ดัง นั้นหากมีกลิ่นตัวแรงๆ กลิ่นเต่าพลังสูงก็ต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดอาบน้ำบ่อยๆ ใช้สบู่ที่สามารถฆ่าเชื้อโรค ลดจำนวนสะสมของแบคทีเรียได้ หรือถ้าสุดความสามารถแล้วก็ต้องใช้น้ำหอม หรือลูกกลิ้งดับกลิ่นเฉพาะที่บ้าง

จุด ที่มีกลิ่นไม่ดีอีกที่ของผู้ชายก็คือที่หนังหุ้มปลายนั่นแหละครับ ปกติแล้วผู้ชายที่มีหนังหุ้มปลายหลงเหลืออยู่ ยังไม่โดนขลิบไปเสียก่อน เวลาอาบน้ำก็ต้องรูดลงมาขัดสีฉวีวรรณตามซอกคอของหนังหุ้มปลายทุกวันให้เป็น กิจวัตร หากมีหนังหุ้มปลายแล้วไม่ล้างให้สะอาดก็จะเกิดการหมักหมม มีกลิ่นเหม็น มีหนังหุ้มปลายแล้วไม่ล้างอย่ามีเสียดีกว่า อย่างนี้ต้องเอาไปขลิบ!

กลิ่น ไม่ดีที่เกิดขึ้นในผู้หญิง ก็มักจะเกิดขึ้นตรงจุดสำคัญนั่นแหละครับ อย่างที่เคยบอกแหละครับว่าปากคนเรากับช่องคลอดมันคล้ายๆ กัน เยื่อบุช่องปากกับเยื่อบุช่องคลอดก็คล้ายคลึงกันมาก ปากต้องมีน้ำลายหล่อเลี้ยง ช่องคลอดก็ต้องมีน้ำเป็นมูกหล่อเลี้ยงตลอดเวลา สำหรับปากเราสามารถแปรงฟันทำความสะอาดได้ง่าย แต่สำหรับช่องคลอด เราไม่ค่อยได้ดูแลรักษาความสะอาดมันเท่ากับช่องปากเลย บางทีก็เกิดการหมักหมมภายใน มูกตกขาวที่มีส่วนประกอบเป็นแป้งก็มีการบูดเสีย มีกลิ่นตามมาได้ ยิ่งหากมีการอักเสบติดเชื้อก็ยิ่งมีกลิ่นมากขึ้น

คุณ ผู้หญิงที่มีกลิ่นเหม็นในบริเวณจุดสำคัญตรงนี้ก็ต้องขยันทำความสะอาดให้ดี อย่าให้มีการสะสมของเชื้อโรค หากรู้สึกว่าตกขาวออกมาผิดปกติ มีสีเขียว สีเหลือง มีกลิ่นแรง ก็ควรรีบไปพบแพทย์จะได้ทำการรักษา ตอนนี้ก็คงนึกภาพออกแล้วนะครับว่า หมอสูติอย่างพวกผม ตรวจอยู่ทั้งวันจะต้องดมกลิ่นอะไรกันบ้าง น่าสงสารเหมือนกันนะ!

ตอน นี้ก็คงรู้แล้วสินะว่าหากมีกลิ่นดีๆ มันช่วยเสริมสร้างความรู้สึกดีๆ ได้เยอะ แต่ไม่ว่าบรรยากาศจะเป็นใจแค่ไหน ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยมื้อค่ำท่ามกลางแสงเทียน เปิดเพลงรักหวานๆ ฟังเบา มีเสียงจิ้งหรีดร้องเป็นจังหวะให้กำลังใจเป็นระยะ แต่พอเข้าด้ายเข้าเข็ม เปิดออกมากลิ่นเหมือนหัวปลาเน่า...เฮ้อ..น่าสงสารสวรรค์ล่มอย่าลืมล่ะ... ดูแลกลิ่นตัวให้ชวนดม...เพื่อคนที่คุณรัก

หากมันมีกลิ่นไม่ดี ไม่ชวนดม...อย่าลืมนึกถึงหมอสูติฯ ก็แล้วกัน

ที่มาจาก http://www.fwdder.com/topic/157173

รักแร้เนียนๆเกลี้ยงเกลาไร้ขน

รักแร้

รักแร้เนียนๆเกลี้ยงเกลาไร้ขน

การกำจัดขน รักแร้ในปัจจุบันมีให้เลือกหลายวิธีตามความชอบ ความสะดวก และงบประมาณ แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียให้ชั่งใจก่อนทำ ดังต่อไปนี้

  • โกน
    ข้อดี : ง่าย สะดวก กำจัดขนรวดเร็ว
    ข้อเสีย : เนื่องจากรากขนยังอยู่ ขนจึงงอกเร็ว แข็งและเป็นตอ นอกจากนี้การโกนจะเกิดขูดบริเวณผิวหนังทำให้อักเสบและติดเชื้อขึ้น


  • ถอน
    ข้อดี
    : กำจัดขนได้แบบถอนรากออกมาด้วย ทำให้ขนที่งอกใหม่ใช้เวลานานกว่าจะขึ้นอีกครั้ง
    ข้อเสีย : ใช้ระยะเวลานานกว่าจะถอนออกหมดและทำให้เกิดตุ่ม ลักษณะเหมือนหนังไก่ เนื่องจากขนคุดได้


  • แวกซ์
    ข้อดี
    : เหมาะกับคนที่มีขนยาว และหนา วิธีนี้รวดเร็วกว่าการถอน ขนที่ขึ้นใหม่จะนุ่มและงอกช้าประมาณ 6 สัปดาห์
    ข้อเสีย : ค่อนข้างเจ็บ ทำให้เกิดตุ่มหรือการแสบแดงได้ และทำให้รูขุมขนใหญ่ขึ้น


  • เลเซอร์
    ข้อดี : เป็นการทำลายรากขน ทำให้ขนไม่งอกขึ้นมาใหม่อีก
    ข้อเสีย : ต้องทำซ้ำประมาณ 4-6 ครั้ง และเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 15,000 บาทขึ้นไป


  • จี้ด้วยไฟฟ้า
    ข้อดี : กำจัดขนได้ถาวรประมาณ 15-20เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนขนที่จี้ไฟฟ้าในแต่ละครั้ง
    ข้อเสีย : อาจเกิดแผล รอยไหม้ หรือการระคายเคือง ต้องใช้เวลานาน และเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000-5,000 บาทต่อครั้ง

หลังกำจัดขนอาจใช้ผ้าชุบน้ำแข็งโปะเพื่อกระชับรูขุมขน และควรหลีกเลี่ยงการใช้ สารเคมี เช่น โลชั่น น้ำยาดับกลิ่นเหงื่อ ฯลฯ เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตัน และอักเสบขึ้น

ที่มาจาก variety.mcot.net

ปัญหา จุดซ่อนเร้น ที่ไม่ควรมองข้าม

ปัญหา จุดซ่อนเร้น ที่ไม่ควรมองข้าม


Dr.Nisanart Thanabhum

จุดซ่อนเร้น

เมื่อแรกที่มีอาการคัน ระคายเคืองหรือแสบบริเวณจุดซ่อนเร้น ด้วยความอายที่จะไปหาหมอผู้หญิงส่วนใหญ่มักละเลยและคิดเข้าข้างตนเองว่าถ้า ดูแลสุขอนามัยให้ดีอาการก็น่าจะทุเลาลง หรือมีความเชื่อเดิมๆ ว่าเดี๋ยวก็หายได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือตรงจุดเสมอไป!


จุดซ่อนเร้นเป็นอวัยวะที่มีความละเอียดอ่อนและมักสัมผัสกับความชื้นตลอดเวลา อีกทั้งเป็นอวัยวะที่เชื่อมต่อกับระบบขับถ่ายและระบบสืบพันธุ์ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสัมผัสหรือแพร่กระจายเชื้อโรคได้มาก เมื่อเป็นแบบนี้ปัญหาใดบ้างที่เจ้าของร่างกายควรสังเกตและปรึกษาสูตินรี แพทย์อย่างเร่งด่วน รวมถึงมีวิธีใดที่สามารถป้องกันหรือแก้ไขเองในเบื้องต้น เรามีคำแนะนำมาฝากตามคำเรียกร้องค่ะ


อาการอย่างไรที่บ่งบอกว่าน่าจะติดเชื้อ หรือไม่ติดเชื้อ?


การติดเชื้อที่จุดซ่อนเร้นแบ่งออกได้หลายระดับแตกต่างกันไป บางครั้งหากไม่ตรวจอย่างละเอียด หรือไม่ทันสังเกตก็จะไม่รู้ถึงความผิดปกติ แต่ถ้ารอให้มีอาการก็มักจะเป็นมากและมีภาวะแทรกซ้อนของโรคแล้ว แต่อาการที่เป็นสัญญาเตือนได้ว่าคุณน่าจะติดเชื้อ ได้แก่


* คันบริเวณปากช่องคลอด ตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีสีน้ำตาลเข้มปนเลือด
* เจ็บแสบขัดเมื่อถ่ายปัสสาวะ หรือเมื่อมีเพศสัมพันธ์
* มีไข้ และปวดท้องน้อยบริเวณที่ต่ำกว่าสะดือ และอาจปวดร้าวมาถึงหลัง
* มีแผลตื้นๆ หรือตุ่มน้ำบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์

อาการที่กล่าวเบื้องต้นมักเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่ มีการป้องกันที่ดี นั่นคือการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย สำส่อนทางเพศประเภท one night stand การไม่สวมถุงยางอนามัย ทำให้มีการแพร่เชื้อต่อๆ กัน ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหนองใน แผลริมอ่อน แบคทีเรียทริโคโมนาส การติดเชื้อทางไวรัส เป็นหูดหงอนไก่ เป็นต้น เมื่อสังเกตถึงความผิดปกติก็มักเป็นมาก ดังนั้นวิธีการแก้ไขที่ดีและถูกต้องคือ การไปพบสูตินรีแพทย์ทันที เพราะยิ่งเร็วเท่าไรนั่นหมายถึงเวลารักษาและความรุนแรงที่ลดลง

sex เพศสัมพันธ์

อาการเตือนอื่นๆ ที่ก่อความรำคาญ แต่แก้ได้ง่าย


เพราะปัญหาที่เกิดกับจุดซ่อนเร้นอาจไม่ได้จำกัดอยู่แต่ภายในเท่านั้น แต่อาจเกิดบริเวณภายนอกรอบๆ ที่ทำให้เกิดความรำคาญไม่น้อย เช่น

* อาการคัน หรือระคายเคืองบริเวณปากช่องคลอด
* ตกขาวเปลี่ยนจากสีขาวขุ่น เป็นมูกสีเหลืองหรือสีเขียว
* มีผื่นแดง รู้สึกแสบร้อนบริเวณเนื้ออ่อนรอบๆ อวัยวะเพศ หรือขาหนีบ
อาการ เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมาจากการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่เกิดการใช้ชีวิตประจำวันด้วย โดยอาจเป็นการติดเชื้อรา หรือผิวหนังบริเวณจุดซ่อนเร้นเกิดการแพ้สารเคมีบางอย่าง ทำให้อักเสบ โดยสาเหตุหลักๆ ก็มาจาก
* การสวมกางเกงในที่ไม่ระบายอากาศ การใส่กางเกงแฟชั่นรัดมากแบบจีสตริง หรือมีเนื้อผ้าหนาไป ทำให้เหงื่อระเหยช้า เกิดความอับชื้น และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
* การสวมกางเกงชั้นในที่ซักไม่สะอาด มีสารตกค้างของสารซักฟอก หรือตากไม่แห้ง มีเชื้อรา
* การแพ้สารเคมีในผ้าหรือแผ่นอนามัย
* การลืมเปลี่ยนผ้าหรือแผ่นอนามัยทุก 2-3 ชั่วโมง
* การรักความสะอาดมากไป ด้วยการใช้สบู่ที่เป็นด่างมากๆ ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นทำให้สภาพปากช่องคลอดมีความเป็นกรดตามธรรมชาติลดลง ทำให้เกิดอาการคันระคายเคือง
* การใช้กระดาษชำระที่มีน้ำหอม หรือมีลายสีสันสดใส ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
* การทาแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้น ซึ่งสูตินรีแพทย์ไม่แนะนำให้ทา เพราะอาจเกิดการแพ้ และเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่หากทาบริเวณจุดซ่อนเร้นโดยตรง
* การกินยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น เช่น ยาฆ่าเชื้อไวรัสเมื่อเป็นหวัดเป็นเวลานาน

ปัญหาจุดซ่อนเร้นเป็นเรื่องที่สาวๆ ต้องใส่ใจให้มาก เพราะหากเกิดอาการหรือสิ่งผิดปกติขึ้นแล้ว ตัวเองจะเป็นคนที่รำคาญและทุกข์ที่สุดค่ะ


การดูแลจุดซ่อนเร้นที่ถูกต้อง


แม้จุดซ่อนเร้นจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากด้วยสรีระตามธรรมชาติ แต่หากสาวน้อยสาวใหญ่ดูแลและทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นได้อย่างถูกต้อง แบบไม่มากหรือน้อยเกินไป โอกาสที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์ก็ย่อมลดลง นั่นคือ


- การมีเพศสัมพันธ์อย่างเหมาะสมและปลอดภัย


- การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้น ด้วยการล้างด้วยน้ำเปล่า หรือช่วงมีประจำเดือนอาจใช้สบู่อ่อนได้บ้างแล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ แต่ไม่ควรใช้สายชำระทำการสวนล้างช่องคลอด ซับให้แห้งและใส่กางเกงในผ้าฝ้าย หากต้องใส่ผ้าอนามัยและรู้สึกไม่สบายหรืออับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้นอาจใช้วา สลีนหรือยูเรียช่วยทาเคลือบผิวและเปลี่ยนแผ่นอนามัยบ่อยๆ ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อนหากไม่จำเป็น เพราะพบว่าทำให้เกิดการอับชื้น ก่อให้เกิดการติดเชื้อรา หรือมีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย

ที่มาจาก www.healthtoday.net

คอลลาเจน เพื่อผิวเนียนใส ลดริ้วรอย

คอลลาเจน เพื่อผิวเนียนใส ลดริ้วรอย

คอลลาเจน

คอลลาเจน คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่ใต้ชั้นหนังแท้ โปรตีนแห่งความงามที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า คอลลาเจนโปรตีน เป็นโปรตีนสำคัญของผิวหนัง เพราะเป็นส่วนสปริงของผิวหนัง ในการสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ หากอยากลองสัมผัสความตึงของคอลลาเจนโปรตีน ลองจับแก้มเด็กตัวเล็ก ๆ ดู จะสัมผัสได้ทันที ถึงความใส ตึง ที่ผิวแก้ม หรือ ดูเด็กวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาว จะเห็นว่าผิวพรรณตึงเปรี๊ยะทีเดียว ปัจจุบันนี้จะมีการพูดถึง คอลลาเจน กันอย่างกว้างขวางในวงการเครื่องสำอาง และ ความงาม เป็นภาษากรีก

ผู้หญิงสมัยใหม่ ไม่มีใครไม่รู้จัก คอลลาเจน ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ผิวพรรณเต่งตึง แต่เมื่ออายุที่มากขึ้นคอลลาเจน ที่อยู่ใต้ผิวหนังก็ลดลงตามลำดับ การยิ้ม ขมวดคิ้ว หรี่ตา หรือเครียด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ คอลลาเจน ใต้ผิวเสื่อมสภาพ ผลที่ตามมาก็คือ ริ้วรอย และรอยตีนกาบนใบหน้า

ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการสลายตัวของ คอลลาเจน คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากแสงแดด มลพิษต่างๆ บุหรี่ สารปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไป และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ส่งผลต่อผิวในชั้นหนังกำพร้า และชั้นหนังแท้ ที่ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชนิด คือ คอลลาเจน และอีลาสติน ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ผิวพรรณเต่งตึง มีความยืดหยุ่น และควบคุมความชุ่มชื้น เมื่อถูกทำลายให้บางลง และด้วยอายุที่มากขึ้นทำให้เกิดความไม่สมดุลกันระหว่างการผลิต และการสลายตัวของคอลลาเจน ตามธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดริ้วรอย ผิวหน้าหย่อนคล้อย และหยาบกระด้าง ดังนั้น วิธีที่จะทำให้ผิวพรรณกลับคืนสู่ความวัยเยาว์นั้น ก็คือการเพิ่ม คอลลาเจน ให้กับผิว



การเพิ่มคอลลาเจนก็มีหลากหลายวิธี ดังนี้

  1. การเติม คอลลาเจนและอีลาสตินที่ขาดหายไปจากเซลล์ผิว ตามธรรมชาติแล้ว
    คอลลาเจน และอีลาสติน จะเริ่มเสื่อมลงเมื่ออายุ 25-30 ปี ปัจจุบันมีการค้นคว้าเพื่อหาแหล่งธรรมชาติที่จะช่วยเสริม คอลลาเจน ที่ขาดหายไป เพราะผิวที่มี คอลลาเจน ที่แข็งแรง จะเป็นผิวที่เปล่งปลั่ง เนียนใส คอลลาเจน จึงเป็นหัวใจสำคัญที่คงความยืดหยุ่น และช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นไว้ไม่สูญเสียไปกับสภาพแวดล้อม

  2. การรับประทานอาหารที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ
    สาร ต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากธรรมชาติ จะช่วยกำจัดตัวการสร้างอนุมูลอิสระได้หมดไป และไม่ทำลายเซลล์ผิวหนัง ซึ่งได้แก่ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี สารเหล่านี้เป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ คอลลาเจนและอีลาสติน

  3. การรักษาความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ผิว
    การ สูญเสียความชุ่มชื้นของเซลล์ผิว ทำให้เกิดความหยาบกร้านและริ้วรอย การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นชนิดพิเศษ ที่มีประสิทธิภาพมากกว่ามอยซ์เจอไรเซอร์ทั่วไป จะสังเกตได้จากส่วนผสมที่ประกอบด้วย ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน,ไฮโดรไลซ์ อีลาสติน,โปรคอลลาเจน,เอเอชเอ เป็นต้น

ที่มาจาก http://entertain.tidtam.com/data/12/0097-1.html#